- ประวัติความเป็นมา
- แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับวิชานิเวศวิทยามนุษย์
- บทวิเคราะห์
- สรุป
- อ้างอิง
ประวัติและความเป็นมา
กำเนิดมวยสากลมวยสากลเป็นศิลปะการต่อสู้ที่มีมาแต่โบราณ โดยเป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่าของทหารในสนามรบ และกลายเป็นเกมกีฬาในการแข่งขันโอลิมปิคยุคโบราณ โดยที่นักมวยในยุคนั้นไม่มีการจ้ากัดน้ำหนัก ไม่สวมเครื่องป้องกันตัว และไม่จำกัดว่าต้องใช้ได้เพียงหมัด สามารถกัดหรือถองคู่ต่อสู้ได้ โดยไม่มีกติกามากนัก เพียงแต่นักมวยทั้งคู่ต้องถอดเสื้อผ้าให้หมดทั้งตัว เพื่อไม่ให้ซ่อนอาวุธเอาไว้ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2236 เจมส์ ฟิกซ์ (James Figg) ผู้ชนะเลิศการต่อสู้ด้วยมิอเปล่าชาวอังกฤษได้กำหนดกฎกติกาในการชก จนได้รับการเรียกขานว่าเป็น " บิดาแห่งมวยสากล " และต่อมาก็ได้มีผู้สร้างนวมขึ้นมา แต่ยังไม่มีการใช้ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2432 จอห์น แอล ซัลลิแวน (John L. Sulrivan) ผู้ชนะเลิศการชิงแชมป์มวยด้วยมือเปล่า ประกาศว่าจะไม่ขอขึ้นชกด้วยมือเปล่าอีกต่อไป เป็นจุดเริ่มต้นของการชกด้วยการสวมนวม และได้พัฒนาจนมาเป็นเกมกีฬาที่มีกติกาชัดเจนเช่นในปัจจุบันมวยเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่ว่าเป็นศาสตร์เพราะเป็นวิชาการที่ทุกท่าน อาจจะศึกษาหาความรู้ได้เช่นวิชาแขนงอื่นๆ และเป็นศิลป์อย่างสูงของนักมวยคนหนึ่งยากที่นักมวยอีกคนหนึ่งจะพึ่งปฏิบัติสืบทอดต่อไปได้ ดังที่ทุกท่านตระหนักดีว่า มวยเป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวอย่างหนึ่งตามธรรมชาติ ปัจจุบันมีมวยอยู่ 2 ชนิดคือ มวยปล้้าและมวยชกแบ่งเป็น 2 แบบคือ ชกด้วยหมัด บวกกับการต่อสู้ด้วยเท้าตามแบบมวยไทย และชาติเพื่อนบ้าน โดยชกด้วยหมัดเพียงอย่างเดียว อันเป็นที่นิยมกันทั่วโลก เรียกว่า มวยสากล (Boxing)
ยุคสมัยมวยสากลในอดีตมวยสากลนั้นมีมานานแล้วตามหลักฐานซึ่ง Sir Ather Evan ได้ค้นพบเศษรูปสลักของนักมวยโบราณ ซึ่งแยกออกเป็นชิ้นๆ ในปี พ.ศ. 2443 ที่เมืองบอซซุส อันเป็นโบราณสถานเก่าแก่แห่งหนึ่งในเกาะ ครีตของประเทศกรีซ ทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จากหลักฐานท้าให้ทราบว่า มวยโบราณสมัยกรีกก่อนคริสต์ศักราชแบ่งออกเป็น 3 ระยะ- ระยะแรก เป็นสมัยของโฮมเมอร์ ประมาณ 900-600 ก่อนคริสต์ศักราช ตอนนี้ใช้หนังอ่อนๆ ยาว 10-12 ฟุต พันตั้งแต่ข้อมือถึงข้อศอก จุดประสงค์เพื่อป้องกันมือของผู้ชก กติกาก็มีเพียงเล็กน้อยแต่ยุติธรรม มีความแข้มแข็ง กล้าหาญ ทนทาน และฝีมือดี จึงจัดว่าเป็นสิ่งส้าคัญ- ระยะที่สอง ระหว่าง 400-200 ปี ก่อนคริสต์ศักราช มีการดัดแปลงเล็กน้อยคือ พันมือแน่นและหนักขึ้นกว่าเดิม และเป็นที่นิยมในสมัยนี้ ผู้เข้าแข่งขันจะต้องฝึกอย่างน้อย 9 เดือน เมื่อใกล้ถึงวันแข่งจริงจะท้าการจับคู่คล้ายกับปัจจุบัน วิธีการชกคือ นักมวยเข้าหากันเป็นเส้นตรง ชกกันตลอดเวลาไม่มีการพักยกจนกว่าข้างหนึ่งข้างใดจะหมดก้าลัง หรือยอมแพ้ ไม่มีผู้ตัดสิน และไม่มีก้าหนดน้้าหนัก- ระยะที่สาม ระหว่าง 400 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ลงมาจนถึงสมัยโรมันรุ่งเรือง สมัยนี้การชกมวยเป็นการต่อสู้ของพวกพวก Giadaiors ซึ่งอาจจะตายไปข้างหนึ่งต่อมาในราวปี พ.ศ. 937 โรมันเสื่อมอ้านาจลง การชกมวยก็ได้เสื่อมไปด้วยเมื่อครั้งโรมันเข้ายึดครองอังกฤษ ได้น้าเอามวยเข้าไปเผยแพร่ในอังกฤษด้วย ซึ่งนักบุญเบอร์นาร์ดได้เขียนเรื่องมวยในประเทศอิตาลีไว้อย่างละเอียด ในปี พ.ศ. 1783 ตอนหนึ่งท่านกล่าวว่า มวยเป็นกีฬาประเภทหนึ่งที่ฝึกคนให้เป็นอัศวินมวยสากลในประเทศไทยมวยสากลหรือที่เรียกในยุคแรกว่า "มวยฝรั่ง" เข้าสู่ประเทศไทยครั้งแรกราว พ.ศ. 2455 โดยได้แบบอย่างจากประเทศอังกฤษ ผู้น้ามาเผยแพร่คือหม่อมเจ้าวิบูลย์สวัสดิวงศ์ สวัสดิกุล ครั้งแรกน้ามาเผยแพร่ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และแพร่ต่อไปยังโรงเรียนต่างๆ มีการจัดแข่งขันมวยนักเรียนซึ่งเป็นแบบมวยสากลสมัครเล่นต่อมา พระยาคฑาธรบดีสีหบาลเมือง เช่าพื้นที่ด้านศาลาแดงของสวนลุมพินีจัดให้มีการละเล่นต่างๆ เรียกว่าสวนสนุก มีการสั่งนักมวยสากลจากต่างชาติมาชกโชว์เรียกว่า "เต็ดโชว์" เมื่อเป็นที่นิยมจึงมีการคัดเลือกนักมวยสากลชาวไทยข้นชกกับนักมวยต่างชาติเหล่านั้นในแบบมวยสากลอาชีพ การชกระหว่างนักมวยสากลชาวไทยกับต่างชาติมีขึ้นครั้งแรกเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2472 ในวันนั้น สุวรรณ นิวาศวัต นักมวยไทยชื่อดังขึ้นชกเป็นคู่แรก แพ้น็อค เทอรี่ โอคัมโป (ฟิลิปปินส์) ยก 4 ส่วนคู่ที่ 2 โม่ สัมบุณณานนท์ ชนะน็อค ยีซิล โคโรนา (ฟิลิปปินส์) ยก 4จากนั้นกีฬามวยสากลเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น มีนักมวยสากลชาวไทยชกชนะสร้างชื่อเสียงอยู่เนืองๆ เช่น สมพงษ์ เวชสิทธิ์ เป็นแชมป์มวยสากลของสิงคโปร์ ผล พระประแดงเป็นรองแชมป์โลกคนแรก จ้าเริญ ทรงกิตรัตน์ เป็นแชมป์ OPBF คนแรกและขึ้นชิงแชมป์โลกเป็นคนแรกด้วยแต่ไม่ส้าเร็จ แชมป์โลกชาวไทยคนแรกคือ โผน กิ่งเพชร ซึ่งได้ครองแชมป์เมื่อ พ.ศ. 2503 ปัจจุบัน (พ.ศ. 2550)ประเทศไทยมีแชมป์โลกทั้งสิ้น 37 คน ในจ้านวนนี้มีนักมวยที่สร้างสถิติโลกและเอเชียมากมายเช่น โผน กิ่งเพชร เป็นแชมป์โลกรุ่นฟลายเวท 3 สมัย คนแรก แสนศักดิ์ เมืองสุรินทร์ เป็นคนแรกที่ชกมวย 3 ครั้งแล้วได้เป็นแชมป์โลกเขาทราย แกแล็คซี่ ป้องกันแชมป์โลกได้มากที่สุดในทวีปเอเชีย และเป็นสถิติโลกรุ่น 115 ปอนด์ เขาทราย แกแล็คซี่ และ เขาค้อ แกแล็คซี่ เป็นแชมป์โลกพี่-น้องคู่แฝด คู่แรกของโลกชนะ ป.เปาอินทร์ และ สงคราม ป.เปาอินทร์ เป็นแชมป์โลกพี่-น้องคู่แฝด คู่ที่สองของโลก ซึ่งในปัจจุบัน (พ.ศ. 2551) ยังมีเพียง 2 คู่ในโลกเท่านั้นพงษ์ศักดิ์เล็ก ศิษย์คนองศักดิ์ ป้องกันแชมป์โลกได้มากที่สุดในรุ่น 112 ปอนด์ และป้องกันแชมป์โลกรุ่นนี้ด้วยการชนะน็อคเร็วที่สุด
แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับวิชานิเวศวิทยามนุษย์
1. การพัฒนาศักยภาพทางด้านร่างกาย และจิตใจ
ศิลปะการต่อสู้ มีพัฒนาการควบคู่มากับวิถีชีวิต ซึ่งมีลักษณะผสมผสานด้านการต่อสู้เพื่อใช้ป้องกันตัวและต่อต้านการุกรานของชนเผ่าอื่น แล้วยังรวมเอาการแสดงศิลปะลีลาของการใช้อาวุธธรรมชาติ อันมีความหลากหลายพิสดารน่าดูไว้ด้วย ตามลักษณะนิสัยของคนที่ชอบการแสดงออกถึงความสนุกสนานร่าเริงและเป็นมิตร อีกทั้งกีฬามวยสากลยังเป็นกีฬาที่ได้รับการยอมรับและแพร่หลายไปทั่วโลกอีกด้วย ดังนั้น จึงถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ
2. การพัฒนาศักยภาพทางด้านความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวิจารณญาณในการดำรงชีวิต
มวยสากล เป็นกิจกรรมที่นำความแข็งแรงของร่างกายมาพัฒนาภายใต้กฎภายใต้กติกา เพื่อสร้างคุณธรรม จริยธรรมให้คนนั้นเป็นพลเมืองดีและเป็นคนดีของสังคม มีกระบวนงานทำให้คนนั้นเกิดกระบวนการมีน้ำใจที่สูงยิ่งคือ น้ำใจนักกีฬา รู้จักแพ้ รู้จักชนะ รู้จักอภัย นอกจากนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งที่บ่งบอกถึงการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ ภายใต้สิ่งแวดล้อมและการพัฒนาด้านต่าง ๆ มวยสากลสามารถที่จะสร้างคนและพัฒนาคนไปสู่การเป็นทรัพยากรที่ทรงคุณค่าของสังคม และก่อให้เกิดกระบวนการงานในเรื่องการพัฒนาประเทศ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านการเมือง ด้านการต่างประเทศ
มวยสากลนั้นเป็นสื่อในการใช้กิจกรรมในการพัฒนาร่างกายให้แข็งแรง เป็นสื่อในการที่จะป้องกันตัวจากภัยอันตรายต่าง ๆ เป็นเครื่องมือในการพัฒนาคนสังคมและชาติในแง่มิติกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการเรียน รู้จากการศึกษา องค์ความรู้ที่ได้มาจากการเล่นกีฬามวยสากล หากมารวมกันก็จะเกิดตกตะกอนที่แท้จริง เป็นหารนำองค์ความรู้ ประสบการณ์และแนวคิดต่าง ๆ มาให้ตกตะกอนเพื่อเป็นแนวคิดในการดำเนินชีวิตต่อไป
บทวิเคราะห์
ในช่วงชีวิตมนุษย์เราทุกคน มีความปรารถนาอยากให้ตนเองมีสุขภาพพลานามัยเเข็งเเรงสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวง เหมือนดั่งคำกล่าวทางศาสนาที่ว่าไว้ คือ “ อโรคยาปรมา ลาภา “ แปลว่า ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ สิ่งที่กล่าวมานี้นับว่าเป็นเป้าหมายที่สำคัญอย่างหนึ่งของชีวิตคนเราทุกคน แต่จะทำอย่างไรเราจึงจะเป็นผู้ที่มีสุขภาพดีอย่างที่ตั้งความหวังเอาไว้ซึ่งจะเเสดงออกมาโดยดูจากเเนวทางการปฏิบัติตนของเเต่ละบุคคล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวบ้างก็พยายามรักษาความสะอาดของร่างกายสิ่งของเครื่องใช้ บ้างก็เลือกรับประทานอาหารที่ดี หรือ ให้ประโยชน์ ตามทัศนะของตน บ้างก็เน้นเรื่องการนอนหลับพักผ่อน บ้างก็เลือกการอาศัยอยู่ในห้องที่มีสภาพเเวดล้อมที่เหมาะสม บ้างก็หมั่นไปตรวจสุขภาพ หรือปรึกษาเเพทย์เป็นประจำ และบ้างก็หาเวลาว่างในการออกกำลังกายอย่างเป็นประจำสม่ำเสมอ ทั้งนี้ ก็เเล้วเเต่ภูมิหลังของเเต่ละบุคคลไปเเต่ทุกคนก็จะมุ่งไปที่เป้าหมายเรื่องเดียวกันคือ ทำอย่างไรจะให้ตนเป็นผู้ที่มีสุขภาพดีสุขภาพร่างกายที่เเข็งเเรงสมบูรณ์ จำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบพื้นฐานหลายด้าน เช่น สภาพทางร่างกาย สภาวะทางโภชนาการ สุขนิสัยและสุขปฏิบัติ สภาวะทางจิตใจ สติปัญญาเเละสภาวะทางอารมณ์ที่สดชื่นเเจ่มใส ซึ่งความสัมพันธ์ของร่างกายเเละจิตใจนี้ ได้มีคำกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “ สุขภาพจิตที่เเจ่มใส อยู่ในร่างกายที่เเข็งเเรง “ หมายความว่า การที่บุคคลจะมีสุขภาพที่สดชื่นเเจ่มใสได้นั้นจะต้องเป็นบุคคลที่มีร่างกายเเข็งแรงสมบูรณ์ด้วย ซึ่งกีฬามวยสากลก็สื่อถึงสิ่งนี้ด้วยที่จะสามารถสร้างคนและพัฒนาคนไปสู่การเป็นทรัพยากรที่ทรงคุณค่าของสังคม
สรุป
ถ้าหากเราปลูกฝังจิตใจของคนที่อยู่ในสังคม คือรู้จักแพ้ รู้จักชนะ รู้จักอภัย ภายใต้มวยสากลซึ่่งเป็นสิ่งที่ยกระดับจิตใจให้เป็นคนมีน้ำใจนักกีฬา คือ รู้จักแพ้ รู้จักชนะ รู้จักอภัย หรือหากเน้นคุณค่าของกีฬาว่า ๑. พัฒนาร่างกายแข็งแรงแน่นอน ๒. พัฒนาอารมณ์ ควบคุมอารมณ์ได้ดีแน่นอน เพราะอารมณ์เป็นสิ่งที่บ่งบอกให้คนอยู่ในสังคมได้หรือไม่ได้ ใครก็ตามควบคุมตัวเองไม่ได้ บางครั้งก็อยู่ในโลกนี้ไม่ได้ อยู่ในสังคมไม่ได้ มนุษย์ถ้าหากรู้จักควบคุมอารมณ์โดยใช้กีฬามาพัฒนาอารมณ์ ด้านสังคมเช่นเดียวกัน กีฬานั้นทำให้เรามาอยู่ร่วมกันภายใต้กฎกติกา ทำให้สังคมเกิดความสมานฉันท์ เกิดความสงบสุข ด้านสติปัญญาไม่ต้องพูดถึง กีฬาทุกอย่างพัฒนาสติปัญญาอย่างแน่นอน พัฒนาตั้งแต่เริ่มเรียน เริ่มรู้ เริ่มพัฒนา เพราะคนที่เล่นกีฬาได้นั้นก็จะต้องมีทักษะทางด้านไอคิวอยู่ ๒ ไอคิว ทักษะในด้านการวิเคราะห์ว่าคู่ต่อสู้เก่งจุดไหน คู่ต่อสู้อ่อนจุดไหน แล้วเราเก่งจุดไหน อ่อนจุดไหน แต่ทักษะหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ ทักษะในการสังเคราะห์ ซึ่งกีฬาทุกอย่างนั้นมีเป้าหมายหลักว่าจะชนะเขาได้อย่างไร คนเหล่านี้มีด้านจิตใจ ด้านวิเคราะห์ การสังเคราะห์ในสมองในตัว เพื่อให้เกิดทักษะในการพัฒนาไปสู่กระบวนการเท่านั้นเอง
อ้างอิง
http://www.oknation.net/blog/nun2504/page78http://www.koratdailynews.com/2012/08/13/users1.jabry.com/trainingcenter2/parwatsakon3.pdfhttp://e-book.ram.edu/e-book/inside/html/dlbook.asp?code=PE291http://www.indumestic.com/?paged=2
วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555
ป้ายกำกับ:
มวยสากล